7.12.52

คู่ชีวิต...ชีวิตคู่...


ชีวิตคู่...คู่ชีวิต...

คือคนที่คนนั้นคนนี้เห็นว่าดี เห็นว่าเหมาะสม เพียงพบไม่กี่ครั้ง

ดูจากเพียงคำพูดท่าทางกริยา ความคิดที่ตอบมาน่ะหรือแล้วตัดสินว่าเขาดี

หรือสิ่งที่เขาทำเพียงแค่ภาพที่สร้างไว้ หรือหน้ากากที่ใส่ไว้ให้ดูดี...

แล้วคนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันล่ะ เข้ากันได้ไหม สันดาน ความจริงเป็นเช่นไร ใครเล่าจะรู้

หากไม่ได้เข้าไปสัมผัส

หรือเพียงแค่การอาบน้ำร้อนมาก่อนมันจะตัดสิน ความคิดและสิ่งที่คนๆ หนึ่งเป็นได้จริงๆ

ยึดติดกับความคิดเก่าๆ หากเชื่อไปแล้วมันเข้ากันไม่ได้ล่ะ

คนเราจะชอบอะไรเหมือนกันหมดทุกอย่างได้น่ะหรือ

.........เพียงพบผ่าน....

25.2.52

...ใครคนนั้น คนที่ตามหามานาน...


คนเคยเหงาเคยรู้สึกเหว่ว้า
เคยมองหาความรักนั้นมันอยู่ที่ใด
โลกใบใหญ่เหลือเกิน มีผู้คนอยู่มากมาย
แต่หัวใจมันกลับเหงาขึ้นทุกที
แต่เมื่อฉันได้พบกับเธอ
สิ่งที่เธอให้ฉันไม่รู้มันคืออะไร
โลกใบใหญ่ใบเดิม กลับไม่เคยต้องเหงาใจ
แค่ฉันนั้นยังมีเธออยู่ตรงนี้

เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต
ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต
เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน
และสุดท้ายก็เจอ ว่าเธอคือทุกอย่าง
ที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ

หากว่าเธอนั้นคือความรัก
ก็เป็นรักที่ดีจนไม่มีคำบรรยาย
ฉันโชคดีเหลือเกิน ที่มีเธอเดินข้างกาย
ชีวิตนั้นได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย

เธอเป็นมากกว่ารัก
เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต
ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน
และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ
จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ
จากนี้ทุกลมหายใจ...ฉันคือเธอ...

22.2.52

...และแล้ว...

คนดีอย่างเธอที่เป็น เซเว่นไม่มีให้ซื้อ สรุปได้ก็คือเธอโดนใจกันวันนี้ที่เราไม่เจอ ขาดเสียงเธอเรียกชื่อฉัน ชีวิตก้อเป็นอะไรที่เหงาจังสายสายก้อเฝ้าห่วงหา เที่ยงมาก้อรอคำถาม ที่เธอพูดประจำกินข้าวหรือยังมองไปรอบตัวที่เห็น ก้อเป็นหน้าเธอทุกครั้ง เธอยังยิ้มส่งมาในห้วงคำนึงจะกี่ครั้งที่รับสายเธอ มันก็ไม่พอเพียง ใจยังคงส่งเสียงว่าคิดถึงจะให้ดีในแต่ละวัน เห็นหน้ากันสักครั้งหนึ่งอยากฟังคำซึ้งซึ้งไม่ผ่านมือถือก็มีน้อยใจบ้างนะ แต่ก็ยังเชื่อว่าเธอ ว่างแล้วคงกลับมาเจอมาเดินจูงมือคนดีอย่างเธอที่เป็น เซเว่นไม่มีให้ซื้อ ทุกวันหัวใจเลยดื้ออยากเห็นหน้าคนดีอย่างเธอที่เป็น เซเว่นไม่มีให้ซื้อ ทุกวันหัวใจเลยดื้ออยากเห็นหน้า

30.5.51

...ไหว้ครู...



















เมื่อวันหนึ่งเราจะโต๊ เราจะโต วันนี้ถึงเวลาต้องรับผิดชอบมากขึ้นอีกเรื่อง ตอนทำงานไปได้สักพักก็อยากกลับมาเรียนใหม่ สมัยเรียนมันช่างมีความสุขดีซะจริงๆ ยิ่งถ้าได้เพื่อนดีๆด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่... เมื่อถึงเวลาก็ได้กลับมาเรียนอีกรอบแต่คราวนี้ยากกว่าเดิมเพราะเป็น ป.โท หลังจากมอบตัวกรอกเอกสารเยอะแยะจนตาลายแทบกรอกไม่ถูก... กิจกรรมแรกกับนิสิตน้องใหม่ ป.โท เทคโนการศึกษา ม.เกษตร ก็คือพิธีไหว้ครูและบายศรี รวมถึงที่รุ่นพี่รับน้องนิดๆหน่อยๆ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง เพราะต่างคนต่างมาจากต่างที่ต่างถิ่นไ ไปทั้งที่ไม่รู้จักใครเลย มีแต่รุ่นพี่ พี่ๆเขาจัดพิธีไหว้ครูไว้ให้อย่างดีมากมายประทับใจจริงๆ เลยยย มี อ.ป๋าครอบครูให้ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลย แต่แล้ววันนี้ก็ได้มีโอกาส หลังจากนั้นตอนบ่ายหลังจากอิ่มกันแล้วก็รับน้อง ไปตามที่เขาใจไว้เฮ้ออ..เหนื่อยตรงที่แทบจะต้องเต้นท่าประจำกลุ่มทุกฐานเลย จะหมดแรงข้าวกลางวันซะแล้วสิ(ซัดเข้าไปเยอะยังหมดเลย) แต่พ่อปู่เม็ดยานี้สุดยอดเลย ท่านพี่ต้อม(ประธานรุ่น10 รุ่นพี่นั่นเหละ) สุดยอดมากๆ ถ้าได้รูปมาจะเอามาลงให้ดูทีหลังแล้วกันน่ะ สนุกสนานเฮฮากันไปทั้งที่ เพื่อนๆ(พี่ๆ ซะส่วนใหญ่) ในกลุ่มแม้จะเป็นครูกันหลายคน แต่ก็ทิ้งหน้าที่และอายุไว้กลายเป็นรุ่นเดียวกันไปหมด ก็ฮาๆกันไป




หลังจากสนุกและเหนื่อยกันมาเต็มที ได้อาบน้ำแต่ตอนค่ำยังมีพีธีบายศรีอีก ดีจังเลยรู้สึกอบอุ่นกับบ้านหลังใหม่ที่กำลังเข้าไป หลังจากพิธีบายศรี ก็ได้กินอีกแล้วครับท่าน พร้อมกับการแสดงของรุ่นน้องที่นั่งคิดกันจะแย่แล้วทำไงดีล่ะนี้..แต่แล้วก็ถูไถตัวถลอกกันไปเป็นแถวๆ...จบงานกิจกรรมก็เหนื่อยๆ ขึ้นไปนอนคงหลับไว ง่วงแล้วสิ...แต่อ่ะนอนไม่หลับอีกแล้วทั้งที่เพลียๆ เหนื่อยๆมากด้วย

...เหมือนเดิม...

หลังจากหายหน้าไปนานมากๆถึงมากที่สุด จนข้ามปี แล้วก็กลับมาเขียนอีกครั้ง ไม่รู้จะไประบายที่ไหน อิอิ เลยกลับมาที่นี้ และแล้วเวลาก็เดินผ่านไปแต่นาฬิกายังอยู่ที่เดิม มีอะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไป มีเรื่องร้ายๆ ทุกข์ใจเข้ามาในชีวิต แต่วันหนึ่งก็ผ่านมาจนได้ มีเรื่องดีๆ ความรู้สึกดีๆ เข้ามา แต่ความสุขก็มักจะอยู่กับเราไม่นาน ความทุกข์ก็อยูกับเราไม่นานเหมือนกัน ช่วงเวลาหนึ่งที่รู้สึกแย่ในตอนนั้นมีบางอย่างดีๆเข้ามาในเวลานั้น อยากให้ช่วงเวลาแบบนี้อยู่ตลอดไป
ระยะห่างที่เคยอยู่ในระดับหนึ่ง วันหนึ่งระยะนั้นมันใกล้เข้ามา ใกล้มากขึ้นจนเปลี่ยนสถานะ แต่แล้วไม่นานความไม่เข้าใจ ความกลัว หรือการที่เราคิดว่ารู้จักคนๆหนึ่งในระดับหนึ่ง แต่เหมือนกับว่าเราแทบจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขามากนัก ทั้งที่ก็สนิทกันมาก่อนเหมือนรู้จักคนๆนี้มานาน แต่ระยะเวลาที่รู้จักกันฉันถือว่ามันนาน ก็พบความจริงว่ามีอีกหลายอย่างที่ฉันไม่รู้จักเขา เพราะฉันไม่เคยถามจริงจังหลายๆเรื่อง เมื่อเวลาของความสุขหมดลง จึงได้รับรู้ว่าเพราะฉันเองที่ไม่สามารถรักษามันไว้ได้ ฉันเองที่เป็นคนทำลายความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน...
ระยะห่างที่ใกล้กันก็ต้องถอยกับไปรักษาระยะห่างที่ตอนเริ่มต้น... แต่เหมือนเดิม ที่ไม่เหมือนเดิม เราไม่อาจจะย้อนเวลากลับไปทำอะไรให้มันเหมือนเดิมได้ บางสิ่งเมื่อเปลี่ยนไปจะให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิมมันคงไม่ได้ แต่ตอนนี้รู้สึกระยะห่างนั้นมันจะไกลขึ้น และฉันไม่รู้ว่าจะเสียมันไปเลยหรือเปล่า เพราะความกลัว จึงทำให้ระยะห่างเริ่มไกลออกไป
...หวังว่าสักวันคงเหมือนเดิมเหมือนที่เคย แบบที่เขาเคยบอกไว้ คนที่สนุกสนานร่าเริง คนที่ชอบมาแกล้งกัน หยอกล้อ มีเรื่องราวทุกข์ใจแบ่งปัน จะกลับมาเป็นคนเดิมที่เคยรู้จัก พี่ เพื่อน ที่ดีที่สุด...

12.10.50

สบายดี


วันหนึ่งหลังเลิกงานวันศุกร์ หลังจากทำงานมาทั้งอาทิตย์และทั้งวันแล้ว หิวจังเลย ในขนาดที่ทุกคนท้องเริ่มหิว เอ๋..ไปกินข้าวร้านไหนกันดี แต่แล้วก็ผ่านมาเจอร้าน สบายดี งั้นลองไปกินดูแล้วกัน เป็นร้านในเส้นเลีบยทางด่วนรามอินทรา... บรรยากาศโดยรวมก็น่านั่งดีเป็นร้านนั่งกินข้าว สังสรรค์กันสบายๆ อาหารก็มี หมูย่างเนย อืมอร่อยเลยล่ะ ยำตะไคร้ ยำแหนม แกงป่าหมู รวมมิตรพริกไทยดำ อร่อยทุกอย่างเลย... สรุปร้านนี้ผ่าน(ใช้ได้) กินกันไปอิ่มกันทุกคน ขากลับรถซีวิค 3 ประตูหนักขึ้นเยอะ...

29.9.50

ความทรงจำ มิตรภาพ ความรัก...(ภูกระดึง จบ)

เช้าตื่นมาจัดการอาบน้ำเก็บของ หาลูกหาบ กินข้าว เขียนโปสการ์ด ซื้อของที่ระลึก แล้วก็เดินลงภู ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะขึ้นกันไปได้ ขาลงรู้สึกว่าทางมันชันมากเหมือนต้องเบรกอยู่ตลอดเวลาจะปวดขาก็คราวนี้เหละ พวกเรา 3 คนเดินลงมาเรื่อยๆ แต่แล้วเราก็ได้ยินเสียงที่คุ้นๆ อ่ะเจอกลุ่มนั้นอีกแล้วกะว่าจะไปเจอกันแล้วน่ะ ตอนเดินลงก็คิดอยู่นะว่าถ้าเจอกันอีกคงพรมลิขิตแล้วล่ะ ไหนๆก็เจอได้พูดคุยกันอีกและก็ยังไม่มีรถกลับงั้นกลับพร้อมกันไหม ได้เพื่อนใหม่กลับมากับความประทับและสวรรค์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ...บางคนอาจจะได้คนรู้ใจกลับมาด้วย.... สวยจริงๆภูกระดึง อยากกลับไปอีกครั้ง ปัจจุบันตอนนี้พวกเราก็ยังได้ข่าวคราวกันอยู่บ้าน ถึงจะไม่ช่ายเพื่อนสนิทแต่ ความคิดถึงกันยังคงมีอยู่....ความทรงจำที่ไม่เคยเลือนลางและจางหาย...ภาพทุกภาพยังคงคมชัดอยู่ในใจ...สักวันคงได้พบกัน...

การเดินทางที่ยาวนานกับความมืด ภูกระดึง




หลังจากหายหน้าไปหลายวันก็กลับมาเหลาต่อ ขอแนะนำเพื่อนที่ไปด้วยอีก 2 คนคือ ชุและหนู ส่วนเพื่อนใหม่มี อาร์ม เอก หมู ไก่ ป๊อป นก เบียร์ โอ ถึงตอนที่ไปผาหล่มสัก หลังจากถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกแต่ฟ้าไม่เป็นใจฟ้าปิดเลยไม่ได้รูปสวยๆมาและไม่ได้แสงสุดท้ายกลับมา ฟ้ามืดไม่มีแสงไฟฟ้าส่องกลับ หนึ่งในเพื่อนกลุ่มนั้นได้เตรียมโคมไฟทำเองไว้แล้ว โดยเอาขวดพลาสติกน้ำอัดลมมาเจาะเพื่อใส่เทียนไว้ สามอัน รวมกันทั้งหมด 11 คนออกเดินทางกลับเต้นท์ที่พัก ข้างทางมืดมากจนมองไม่เห็นอะไรมีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟเท่านั้นเลยต้องเดินเกาะกลุ่มหน้าไว้หน่อยไม่ให้ห่างมากนัก บางครั้งก็เดินสะดุดรากไม้จนป๊อปเอาไฟฉายมาส่องทางให้ (เหมือนเจ้าหน้าที่ป่าไม้เลย) ระหว่างทางได้ยินเสียงหมาหอนกันด้วยจากในป่ามืดๆ เดินไปเทียนใกล้หมดต้องต่อเล่มใหม่ พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีมืดมากเหลือแค่ 3 คน (เรา ไก่ เบียร์) มองไม่เห็นข้างหน้าเลย ต้องรีบเดินตามเพื่อนๆไป เหนื่อยก็พักเหนื่อยตามจุดหยุดพัก การเดินทางช่างยาวนานและแสนไกลกับความมืด เห็นกองไฟก็สงสัยว่าไฟไหม้ป่าหรือเปล่า แต่พอมองดูดีๆอีกที่ก็มีคน พวกเราเดินกันในเส้นทางข้างใน จะมีทางเลาะหน้าผาด้วยแต่คงเสี่ยงเกินไป ระหว่างผาหมากดูดถึงที่พักเจอต้นสนสูงกลางทางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าดาวเต็มท้องฟ้าสวยอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ไม่มีสายลั่นชัตเตอร์ และเพื่อนก็อยากจะถึงที่พักไวๆ ขาเราก็แทบไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ถึงที่พักเพื่อนเหนื่อจนร้องไห้และหลับไป เราก็เลยหาข้าวกินกับเพื่อนอีกคนแต่ไม่อาบน้ำมันเย็นเหมือนน้ำแช่ในตู้เย็นเลยเช้าค่อยอาบที่เดียว เพื่อนใหม่ก็ยังมีน้ำใจ้ป็นห่วงเอายามาให้กลัวปวดขากัน ฮืม..ก็นิสัยใช้ได้นะ...ยังเหลือตอนกลับอีก เบื่อกันหรือยังเนียเล่าเรื่องยืดยาวขนาดนี้แต่เดี๋ยวคราวหน้ามีบทสรุป จบของการเดินทางครั้งนี้......

ภูกระดึง....




ตอนนี้อยากไปภูกระดึงมากเลยแต่ยังหาเวลา กับคนไปด้วยไม่ได้ ที่สำคัญตัง...


น่าจะประมาณ 2 ปีที่แล้ว ช่วงที่มหาลัยรับปริญญากัน เพื่อนชวนไปกับกลุ่มเพื่อนแต่เราไม่รู้จัก แต่ที่สนิทมีไม่กี่คน เลยตัดสินใจไปเพื่อนสนิทอีกส่วนหนึ่งฝึกงานเลยไปไม่ได้...โอกาสหน้าค่อยไป... ไม่คิดว่าที่นั่นจะหนาวเอามากๆๆยิ่งตอนเช้ามืดด้วยแล้ว ไปถึงที่นั่นประมาณตี 3 ได้ แต่ระหว่างเดินเดินดันตกบันไดรถทัวร์กางเกงที่หัวเข่าขาดแผลคล้ายรูปหัวใจ ยิ่งหนาวยิ่งแสบแผล... เมื่อต่อรถไปถึงอุทนยาน ก็ต้องเดินขึ้นเขา มีจุดพักเป็นซำต่างๆ เจอซำแรกก็แฮกสมชื่อเลย กว่าจะขึ้นไปถึง เหนื่อสุดๆ ที่แรกก้คิดว่าจะไม่อีกแล้ว แต่พอได้เห็นแสงพระอาทิตย์ตกในวันแรกมันสวยมาแต่ไม่ได้ไปดูตกผาเพราะเพื่อนไปไม่ไหวหลับไปแล้ว วันรุ่งขึ้นออกตะเวนตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นไปดูตรงผาไม่ทั้น เลยตั้งกล้องถ่ายรูปบนโขดหินระหว่างทาง ได้รูปมานี้

เหละ กลับมาที่พักเพื่อเตรียมสเบียงออกตะเวนรอบภูเริ่มจากน้ำตกที่เราสามารถเดินผ่านไปโดนไม่ป็นการอ้อมมากได้ ที่อ่านเจอเขาบอกว่ามีน้ำไหลตลอดทั้งปี แต่ที่เจอมันนิดเดียวเองเลยตั้งใจว่าจะมาหน้าที่มีน้ำ น้ำตกแรกที่ไปเจอผู้ชายกลุ่มหนึ่งมาขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ และก็จำได้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่เจอตอนต่อรถ แล้วพวกเรา 3คนหญิงล้วนก็ไปกันต่อ แต่ก็มันจะเจอกลุ่มนั้นเสมอจนในที่สุดตัดสินใจว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก แต่ขากลับมันจะมืดมาก หญิง3คนอันตราย เลยถามกลุ่มนั้นว่าจะไปไหม พวกเขาตัดสินใจไปพวกเราเลยไปด้วยและได้รู้จักเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกัน ดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน ถ่ายรูปด้วยกันแล้วยังไงต่อหรอ....เก็บไว้ก่อนอ่านต่อตอนต่อไปแล้วกันจะเอามาลงอีก......